วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562

หลวงพ่อฤษีลิงดำ



ปัญหาเรื่องพระนิพพาน

ผู้ถาม :- “เกิดมาแล้วทำไมจึงต้องตายครับ…?”

หลวงพ่อ :- “เพราะอยากตาย ไอ้คนอยากเกิดก็อยากตายด้วยใช่ไหม…เกิดแล้วมันก็ต้องตาย 
เพราะธรรมดาเราฝืนมันไม่ได้ ทีนี้ถ้าเราไม่ต้องการตาย เราก็ไม่ต้องเกิด”

ผู้ถาม :- “ที่นิพพานไม่มีการเกิดใช่ไหมครับ จึงไม่มีการตาย…?”

หลวงพ่อ :- “อันนี้เคยมีพระหรือพราหมณ์ถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า 
นิพพานจะไม่มีการเกิดก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าเกิดก็ไม่ได้ 
ถ้าเรียกว่าเกิดก็ต้องเกิด ถ้าจะว่าไม่เกิด แต่สภาวะมันมีอยู่ 
ตอนแรกฉันอ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็เลยย่องไปถามท่าน

ฉะนั้น “นิพพาน” ควรเรียกว่าอะไร 
ท่านบอกว่าควรจะเรียก “ทิพย์พิเศษ” ที่ไม่มีการเคลื่อน
เทวดาหรือพรหมยังมีการเคลื่อน ที่เรียกว่า “จุติ” จุติ แปลว่า เคลื่อน

ไอ้ศัพท์ที่ว่าตายนี่ พระพุทธเจ้าท่านไม่เรียก 
ท่านเรียก “กาลัง กัตวา” ถึงวาระแล้ว ถึงกาลเวลาแล้ว 
ท่านไม่เรียกว่าตาย 
ตาย นี่ มรณะ ตามศัพท์ของบาลีไม่มีคำว่ามรณะ 
ท่านเรียกว่า กาลัง กัตวา แปลว่า 
ถึงวาระที่จะต้องไปจากร่างกายนี้ ร่างกายนี้มันพังมันไม่ยอมทำงาน”

ผู้ถาม :- “ขอหลวงพ่อโปรดอธิบายเรื่องนิพพาน ให้ผมเข้าใจด้วยครับ”

หลวงพ่อ :- “คำว่า นิพพาน เหรอ…คุณต้องการรู้เรื่องนิพพานไปทำไม…?”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ) “เอาไว้ประดับความรู้ครับ”

หลวงพ่อ :- “เอาไว้ประดับความรู้….ดี 
คำว่า นิพพานเป็นของง่าย เป็นของไม่ยาก”

“นิพพาน นี่เขาแปลว่า ดับ นะคุณนะ 
ถ้าจะถามว่าดับอะไร ก็ขอตอบว่า ดับความชั่ว

คนที่จะถึงนิพพานได้ ต้องไม่มีความชั่ว ๓ อย่าง คือ
๑. ไม่ชั่วทางกาย
๒. ไม่ชั่วทางวาจา
๓. ไม่ชั่วทางใจ

ถ้าทุกคนดับความชั่วได้หมด บุคคลนั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน”

ผู้ถาม :- “แต่ผมเคยได้ยินมาว่า นิพพาน แปลว่า ดับไปเลย ไม่เหลืออะไรเลยนี่ครับ”

หลวงพ่อ :- “ความจริงคุณจะต้องรู้ว่าอะไรดับ
คำว่า นิพพาน แปลว่า ดับ�ดับทีแรก คือดับกิเลส�ดับที่สอง คือดับขันธ์ ๕�แต่ว่าตามพระบาลีไม่ได้บอกว่าจิตดับ

ปัญหาของคุณที่ถามนี่ 
เหมือนกับปัญหาของพระที่ถามพระพุทธเจ้า
เคยถามมาแล้ว คือ ท่านผู้นี้มีนามว่า พระโมกขราช 

ท่านถามพระพุทธเจ้าว่า “นิพพานมีสภาพสูญ ใช่ไหม…พระพุทธเจ้าข้า” 
หมายความว่า เมื่อถึงนิพพานแล้วก็ดับสูญ 
มีสภาพคล้ายกับควันไฟที่ลอยไปในอากาศ ไม่มีที่เกาะ ไม่มีที่อยู่ อย่างนั้น

องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสว่า “โมกขราช เรากล่าวว่า นิพพานนั้นหมายถึงกิเลสดับ และขันธ์ ๕ ดับ”
�พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าจิตดับ

ทีนี้ถ้าหากว่าคุณจะศึกษาเรื่องนิพพาน 
ถ้าเราจะพูดกันไปกี่ร้อยปี มันก็ไม่จบ 
ฉะนั้น ถ้าต้องการจะรู้เรื่องพระนิพพานจริงๆ 
คุณจะต้อง เป็นคนมีศีลบริสุทธิ์ เป็นอันดับแรก 
เป็นผู้ทรงฌานสมาบัติ
ในขณะที่ทรงฌานสมาบัติได้แล้ว 
คุณจะต้องทำจิตของตนให้เข้าถึง วิปัสสนาญาณ 
ที่เรียกกันว่า สังขารุเปกขาญาณ 
เมื่อจิตเข้าถึง สังขารุเปกขาญาณ แล้ว 
ก็ต้องชำระกิเลสด้วยการ ตัดสังโยชน์ ๓ เบื้องต้น คือ
๑.ทำลายสักกายทิฏฐิ�๒.ทำลายวิจิกิจฉา คือความสงสัย ให้หมดไป�๓.สีลัพพตปรามาส ทรงศีลให้บริสุทธิ์�๔.มีอารมณ์จิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ 
ที่เราเรียกกันว่า โคตรภูญาณ

ถ้ากำลังใจของคุณทำได้อย่างนี้ 
เมื่อจิตเข้าถึง โคตรภูญาณ 
คุณจะทราบว่า คำว่า ดับของนิพพาน นั้นก็คือ
๑.ดับกิเลส ในขณะที่มีชีวิตอยู่�๒.ดับขันธ์ ๕ หรือขันธ์ ๕ ดับ�๓.อารมณ์จิตที่บริสุทธิ์ไม่ได้ดับไปด้วย

คำว่า พระนิพพาน ยังมีจุดที่เป็นอยู่อันหนึ่ง 
ที่เขาเรียกว่า เป็นทิพย์พิเศษ พ้นจากอำนาจของวัฏฏะ คุณทำได้ไหมล่ะ…?”

ผู้ถาม :- “ทำไม่ได้ครับ”

หลวงพ่อ :- “ทำไม่ได้ แล้วถามทำไม”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ) “ถามไว้เพื่อเป็นการศึกษาครับ”

หลวงพ่อ :- “ดี…ถามไว้เพื่อเป็นการศึกษา 
แต่ว่าคุณอย่าลืมนะคำว่า นิพพาน 
สมัยนี้เป็นของไม่ยากสำหรับประชาชนแล้วนะ 
บรรดาบุคคลทั้งหลายที่อยู่ในวัยเรียนขั้นเด็ก คือ 
ชั้นประถมก็ดี ชั้นมัธยมก็ดี และนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็ดี 
เขาได้ญาณประเภทนี้กันเยอะแล้ว และเข้าใจเรื่องพระนิพพานดี”

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ ลูกอยากกราบเรียนถามว่า ผู้หญิงมีสิทธิ์จะไปพระนิพพานได้ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “เขาไปตั้งหลายปี๊บแล้ว มีสิทธิ์สมบูรณ์ มีสิทธิ์เท่ากับผู้ชาย”

ผู้ถาม :- “ไปทัศนาจรนี่ได้มั้ยคะ…?”

หลวงพ่อ :- “อ้าว…ถ้าทัศนาจรนี่ก็แจ๋ว ไปอยู่ซิ 
ผู้หญิงกับผู้ชาย มีสิทธิ์เป็นพระอริยะ มีสิทธิ์เข้าพระนิพพานได้เหมือนกัน 
แต่ฉันว่าผู้หญิงนี่ไปเร็วกว่าผู้ชาย 
นี่เป็นเรื่องจริงๆนะ 
ในยุคนี้ตามที่ฝึกกรรมฐานสังเกตดูแล้ว 
ผู้หญิงนี่รวดเร็วกว่าผู้ชายมาก จะไปเมื่อไรล่ะ…?”

ผู้ถาม :- “ไปเร็วๆ ก็ดีค่ะ เบื่อโลกมนุษย์แล้วค่ะ”

หลวงพ่อ :- “เบื่อแล้วเรอะ ถ้าเบื่อนี่ไม่ช้า 
อันนี้เป็นเรื่องจริงๆนะ 
เพราะว่าตั้งแต่ฝึกกรรมฐานเท่าที่สังเกตดู 
จะฝึกในด้านสุกขวิปัสสโกก็ดี เตวิชโชก็ดี 
ผู้หญิงเอาไปกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ 
ผู้ชายตามไปแค่ ๒๐ เปอร์เซ็นต์”

ผู้ถาม :- “แล้วที่นิพพานมีเพศไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “เพศรึ…มี…”

ผู้ถาม :- “เขาแบ่งเหมือนกับในโลกมนุษย์ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ไม่ใช่ เป็นเพศพระนิพพาน 
ที่ว่าไม่มีเพศ ตั้งแต่พรหมขึ้นไปนี่ไม่มีเพศ 
เขาจึงเรียกว่าพระพรหม 
ผู้หญิงขึ้นไปผู้ชายขึ้นไป เพศไม่มี 
มีลักษณะคล้ายคลึงกันหมด 
ถึงนิพพานแล้วเหมือนกัน 

แต่ว่านิพพานไม่ดีอยู่อย่าง 
ไม่มีแป้งทาหน้า 
ไม่มีก๋วยเตี๋ยวกิน 
ไม่มีส้วมนี่ลำบาก 
ที่นิพพาน ผู้หญิงกับผู้ชายฐานะเท่ากัน 
จะเห็นว่าในสมัยพระพุทธเจ้า ผู้หญิงไปนิพพานตั้งเยอะ”

ผู้ถาม :- “แล้วชาติที่จะไปนิพพาน จะต้องเป็นผู้ชายหรือเปล่าคะ…?”

หลวงพ่อ :- “แหม…ถ้าผู้หญิงจะไปนิพพาน จะต้องเป็นผู้ชายก็ออกฤทธิ์แล้ว 
ไม่ต้อง ไม่จำเป็นนะ 
คือเพศผู้หญิงอย่างนี้ ทำไปๆ ก็ถึงนิพพาน 
ตัดกิเลสไปทีละขั้น พอถึงอนาคามีก็ไม่มีความรู้สึกในเพศ ไม่โกรธ 
พอถึงอรหันต์ก็ตีตั๋วไปนิพพานเลย

แต่อย่าลืมว่า การบรรลุมรรคผลไม่ได้เป็นไปตามลำดับ 
มันอยู่ที่กำลังใจตัวเดียว 
ถ้าเรามีความเบื่อโลกจริงๆ 
ตัวเบื่อนี่เป็นกำลังของพระอนาคามีอยู่แล้ว 
แล้วก็บางทีก็ไม่จำเป็นต้องไปค้างอนาคามีก่อน 
ถ้าเบื่อโลก คิดว่าโลกเป็นทุกข์ 
เราไม่ต้องการโลกนี้อีก 
เทวโลกและพรหมโลกเราก็ไม่ต้องการ 
เราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน
จุดที่มีความสำคัญจริงๆ คือ สังขารุเปกขาญาณ 
มีอารมณ์ไม่กลุ้ม 
ตามที่พูดเมื่อกี้นี้ อะไรที่จะเกิดขึ้นกับเรา ถือว่าชดใช้หนี้กรรมเก่าไป
โรคภัยไข้เจ็บมันเกิดขึ้นกับกาย 
เรื่องลำบากกายทุกอย่างก็เป็นโทษจาก ปาณาติบาต เดิม ก็ใช้หนี้มันไป
เรื่องทรัพย์สินจะต้องเสียไป 
ถือว่าเป็นโทษ อทินนาทาน เดิม ชำระหนี้มันไป
เรื่องคนใต้บังคับบัญชา ว่ายากสอนยากหัวดื้อหัวด้าน 
ถือว่าเป็นโทษของ กาเม ใช้หนี้มันไป
เราพูดจริงแต่บางโอกาสไม่มีใครเขาเชื่อ 
เป็นโทษของ มุสาวาท เดิม เราก็ชำระหนี้มันไป
ถ้ามันปวดหัวปวดประสาท 
ก็เป็นโทษจาก การดื่มสุราเมรัย ก็ชำระหนี้มัน 
ชำระชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย

ถ้าทรงใจไว้อย่างนี้ และ
๑.พยายามตัดอารมณ์ของความโลภ 
ไอ้ความโลภนี่ก็หมายความว่า 
อยากจะเอาทรัพย์สินของชาวบ้านเขามาโดยไม่ชอบธรรม 
การขยันหมั่นเพียรในการทำงานเขาไม่ถือว่าโลภ 
แต่ไม่โกงเขานะ 
ท่านถือว่าเป็นสัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตโดยชอบ
ความไม่โลภจะมีขึ้นได้ คือ ใคร่ในการสงเคราะห์ 
ถ้าหากว่ามีคนเขายากจนเขามีความลำบาก 
คนก็ดีสัตว์ก็ดี จงคิดว่าถ้าเรามีเราจะสงเคราะห์ 
ถ้าเรามีน้อยไปเราลำบากใจ 
แต่จิตเราก็คิดอยากสงเคราะห์นะ 
แล้วก็ไม่โกรธชาวบ้าน 
อย่างนี้ถือว่าอารมณ์ความโลภหมด
ความโลภหมดนี่ไม่ได้หมายความว่าเลิกหากิน 
เป็นแต่เพียงว่า จิตคิดจะสงเคราะห์อย่างหนึ่ง 
และก็ไม่โกงเขาอย่างหนึ่ง 
นี่จัดว่าหมดความโลภนะ

๒.หาทางตัดความโกรธ 
คือยับยั้งเรื่องของความโกรธ 
ถือว่าความโกรธมันเป็นทุกข์ 
เราคิดว่าเช้ามืดตื่นขึ้นมา เราจะไม่โกรธใคร 
เราคิดไว้อย่างนี้ทุกวัน 
แต่บังเอิญถ้าหากเราพลั้งเผลอไปบ้าง พอใกล้จะนอน 
เราก็นั่ง ถ้ามันจะหลับนอนใคร่ครวญดูว่า
วันนี้เราโกรธใครบ้าง 
ถ้ามีความโกรธขึ้น 
เราคิดว่าวันหน้าเราจะไม่โกรธ 
หาทางยับยั้งไว้เรื่อยไป 
ไม่ช้าเราก็ชิน ไม่ช้าความโกรธมันก็ตกไป

๓.ทีนี้ ด้านความหลง 
อย่างคุณนี่ไม่ต้องมี เบื่อโลกมันก็หมดหลงใช่ไหม… 
คิดว่าโลกเต็มไปด้วยความวุ่นวาย 
โลกเต็มไปด้วยความทุกข์ 
อันนี้เป็นตัวตัดความหลงอยู่แล้ว 
อย่างนี้ไปนิพพานได้ง่าย”

ผู้ถาม :- “ลูกได้ยินแต่ว่านิพพานมีแต่ความร่มเย็น 
ไม่ต้องประสบความเดือดร้อน ความวุ่นวายอะไรเลย 
เป็นความจริงอย่างที่เขาว่าไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “จริง ที่นิพพานมีแต่ความสุข อารมณ์ก็เบา 
คือว่าถ้าเราไปจากมนุษย์ พอถึงเทวดาจะมีความสุขมาก 
ทั้งๆที่เรายังไม่ตาย 
ถ้าเราใช้กำลังฌานไปได้นะ 
ถ้าเปรียบเทียบกันมันเบากว่ามาก ดีกว่ามาก 
ถ้าจากแดนเทวดาไปถึงพรหม 
จะเห็นว่าพรหมเขามีความสวยกว่า สบายกว่า เบากว่า 
ถ้าถึงแดนนิพพาน ไม่มีอะไรเป็นเครื่องหนักจิตแม้แต่นิดเดียว”

ผู้ถาม :- “แล้วนิพพานมีอายุไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “มี”

ผู้ถาม :- “นานไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “นับไม่ได้”

ผู้ถาม :- “เป็นกัปหรือไงคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ไม่เป็นนะ อายุที่นั่นอยู่ตลอด 
ถ้ามีตายแล้วมีเกิดอีกก็แย่นะซิ ถ้าไม่มีก็ไม่ได้ 
เพราะมีการทรงตัวนี่ ก็ต้องถือว่ามีอายุใช่ไหม…”

ผู้ถาม :- “เป็นสภาวะที่ต้องอยู่แบบนั้นตลอดไป ใช่ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ใช่ แก่ก็ไม่เป็น หิวข้าวก็ไม่เป็น ป่วยก็ไม่เป็น ปวดท้องขี้ก็ไม่เป็น แต่พูดได้”

ผู้ถาม :- “ติดต่อมาทางโลกมนุษย์ได้ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “อันนี้เรื่องเล็ก เหมือนกับพวกเราอยู่ในเรือนจำ 
เปรียบเหมือนกับวัฏฏสงสาร 
ยมโลก มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก หมุนกันไปหมุนกันมา 
เหมือนกับอยู่ในเรือนจำ 
แต่คนที่เขาออกจากเรือนจำไปแล้ว มีสิทธิ์จะไปเยี่ยมคนอยู่ในเรือนจำ ได้ไหม…
เข้าไปเที่ยวได้ ใช่ไหม…
แต่ไปกักขังเขาไม่ได้ 
พวกไปนิพพานก็เหมือนกัน 
ก็เหมือนกับคนที่พ้นจากวัฏฏสงสารแล้ว 
ก็มีสิทธิ์เยี่ยมคนที่อยู่ในวัฏฏะได้ 
วัฏฏะไม่มีอำนาจจะบังคับให้เขาอยู่ได้”

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อครับ นิพพานเป็นสภาวะที่เที่ยง 
หมายความว่า ถ้านิพพานตอนเด็ก ก็จะเด็กตลอดไป ใช่ไหมครับ…?”

หลวงพ่อ :- “มันเด็กมีโลกนี้โลกเดียว โลกอื่นเขาไม่มีเด็ก 
นรกก็ไม่มีเด็ก เปรตก็ไม่มีเด็ก อสุรกายก็ไม่มีเด็ก 
เทวดา พรหมก็ไม่มีเด็กนะ 
มันมีโลกนี้โลกเดียว ใช่ไหม…
อย่างคนที่เขาตายไปแล้วเป็นเด็ก 
ถ้าไปเห็นภาพเขาเป็นเด็ก ก็แสดงว่าเขาแสดงให้เห็นภาพเดิม 
แต่ว่าไปอยู่ที่นั่นไม่มีคำว่าเด็ก”

ผู้ถาม :- “นิพพานเป็นสภาวะธรรมชาติ ไม่มีใครปรุงแต่งขึ้นใช่ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “มีความดีปรุงแต่ง”

ผู้ถาม :- “ยังไม่เข้าใจค่ะ”

หลวงพ่อ :- “ก็การหมดกิเลส หมดชั่วปรุงแต่ง 
มีดีอย่างเดียวไม่มีชั่ว 
แต่ไม่ใช่พ่อแม่แต่ง ไม่ใช่พ่อแม่ช่วยกันสร้าง 
มีโลกนี้โลกเดียวที่พ่อแม่ช่วยกันสร้าง
นรกก็ไม่ต้องมีพ่อแม่สร้าง เกิดเอง 
เทวดา นิพพาน เขาเรียกว่ามีความจำกัด 
เกิดด้วยกำลังของบุญส่วนสูงนะ 
สำหรับอบายภูมิเกิดด้วยกำลังของบาป 
ที่เกิดเป็นสัตว์นรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
สัตว์เดรัจฉาน ยังอาศัยเถ้าไคลอาศัยครรภ์มารดา
แต่ว่าเปรตอสุรกาย ก็ไม่ต้องเกิดเหมือนกัน 
แต่ว่าบาปสร้างสรรค์
ถ้าเทวดา ก็บุญสร้างสรรค์
ถ้าพรหม ก็ฌานสมาบัติสร้างสรรค์
ถ้านิพพาน ก็หมายถึงว่า ความหมดกิเลสสร้างสรรค์ 
สร้างหรือไม่สร้างเขาก็ไปนิพพาน 
ก็ต้องถือว่าความหมดกิเลส 
ความบริสุทธิ์เป็นผู้สร้าง แต่ไม่มีตัวไม่มีตนนะ 
ต้องอารมณ์บริสุทธิ์”

ผู้ถาม :- “ไม่ต้องใช้ปัญญาบารมีหรือคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ต้องใช้บารมี ๑๐ อย่าง 
ตั้งแต่ปัญญาบารมี ถึงเมตตาบารมี หมด ๑๐ อย่าง 
ใช้บารมีเดียวไปไม่ได้ มันมีรูรั่วอยู่ ๑๐ ต้องอุดให้หมด”

ผู้ถาม :- “ที่เขาเรียกบารมี ๑๐ ทัศใช่ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ใช่ๆ แต่บารมี ๑๐ ทัศนี่ 
ถ้าเอาจริงเอาจังอย่างหนึ่งอย่างใด อีก ๙ อย่างก็รวม 
อย่างการให้ทานอย่างเดียวด้วยความบริสุทธิ์ใจนะ 
บารมีอีก ๙ อย่างก็มารวมจุดเดียวกัน 
ถ้ากำลังอีก ๙ อย่างไม่มารวมให้ครบ ๑๐ ก็ให้ทานไม่ได้ 
บารมี ๑๐ อย่างไม่ใช่มาแยกทำทีละอย่าง 
ถ้าเราทำด้วยความจริงใจ มันต้องรวมตัวกัน

ความจริงนิพพานเป็นของดี 
นิพ เขาแปลว่า ดับ ดับอารมณ์ของความชั่วทั้งหมด 
ถ้าจิตยังมีความชั่วอยู่ไปนิพพานไม่ได้ 
ความชั่วนี่มันต้องดับ ดับจริงๆ จุดสุดท้าย 
สมมติว่า ยังเป็นอรหันต์ไม่ได้ ก็ยังไม่มีสิทธิ์ไปนิพพาน 
แต่ว่าเวลาที่ใกล้จะตายจริงๆ 
ถ้าเวลานั้นจิตมันดับ กิเลสหมดก็ตายเลยได้ไปนิพพานทันที”

หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ 
เล่ม ๓ หน้า ๓๒-๔๒�พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน 
(หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง)




วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

วิสาขบูชา


วันวิสาขบูชา (บาลีวิสาขปุณฺณมีปูชาอังกฤษVesak) เป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกนิกายทั่วโลก ทั้งเป็นวันหยุดราชการในหลายประเทศ และวันสำคัญในระดับนานาชาติตามข้อมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ[1] เพราะเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดในศาสนาพุทธ 3 เหตุการณ์ด้วยกัน คือ การประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระโคตมพุทธเจ้า โดยทั้งสามเหตุการณ์ได้เกิด ณ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่า เป็นวันที่รวมเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ยิ่ง และเรียกการบูชาในวันนี้ว่า "วิสาขบูชา" ย่อมาจาก "วิสาขปุรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" อันเป็นเดือนที่สองตามปฏิทินของอินเดีย ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติของไทยและมักตรงกับเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายนตามปฏิทินจันทรคติของไทย โดยในประเทศไทย ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 7 แต่ประเทศอื่นที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท และไม่ได้ถือคติตามปฏิทินจันทรคติไทย จะจัดพิธีวิสาขบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 แม้ในปีนั้นจะมีเดือน 8 สองหนตามปฏิทินจันทรคติไทยก็ตาม[2] ส่วนในกลุ่มชาวพุทธมหายานบางนิกายที่นับถือว่า เหตุการณ์ทั้ง 3 นั้นเกิดในวันต่างกันไป จะมีการจัดพิธีวิสาขบูชาต่างวันกันตามความเชื่อในนิกายของตน ซึ่งไม่ตรงกับวันวิสาขบูชาตามปฏิทินของชาวพุทธเถรวาท[3]
วันวิสาขบูชา นั้นได้รับการยกย่องจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลกให้เป็นวันสำคัญสากลทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นวันที่บังเกิดเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ ที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าและจุดเริ่มต้นของศาสนาพุทธ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดได้เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน ณ ดินแดนที่เรียกว่าชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล โดยเหตุการณ์แรก เมื่อ 80 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ" ณ ใต้ร่มสาลพฤกษ์ ในพระราชอุทยานลุมพินีวัน (อยู่ในเขตประเทศเนปาลในปัจจุบัน) และเหตุการณ์ต่อมา เมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันที่เจ้าชายสิทธัตถะได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ณ ใต้ร่มโพธิ์พฤกษ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (อยู่ในเขตประเทศอินเดียในปัจจุบัน) และเหตุการณ์สุดท้าย เมื่อ 1 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันเสด็จดับขันธปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ณ ใต้ร่มสาลพฤกษ์ ในสาลวโนทยาน พระราชอุทยานของเจ้ามัลละ เมืองกุสินารา (อยู่ในเขตประเทศอินเดียในปัจจุบัน) โดยเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนเกิดตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 หรือเดือนวิสาขะนี้ทั้งสิ้น ชาวพุทธจึงนับถือว่าวันเพ็ญเดือน 6 นี้ เป็นวันที่รวมวันคล้ายวันเกิดเหตุการณ์สำคัญ ๆ ของพระพุทธเจ้าไว้มากที่สุด และได้นิยมประกอบพิธีบำเพ็ญบุญกุศลและประกอบพิธีพุทธบูชาต่าง ๆ เพื่อเป็นการถวายสักการะรำลึกถึงแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบมาจนปัจจุบัน 
วิสาขบูชา มีการนับถือปฏิบัติกันในหลายประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งมหายานและเถรวาททุกนิกายมาช้านานแล้ว ในบางประเทศเรียกพิธีนี้ว่า "พุทธชยันตี" (Buddha Jayanti) เช่นใน ประเทศอินเดียและประเทศศรีลังกา ในปัจจุบันมีหลายประเทศที่ยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ เช่น ประเทศอินเดีย ประเทศไทย ประเทศพม่า ประเทศศรีลังกา สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เป็นต้น (ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีสัดส่วนประชากรที่นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมากที่สุด) ในฝ่ายของประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ได้รับคติการปฏิบัติบูชาในวันวิสาขบูชามาจากลังกา (ประเทศศรีลังกา) ในประเทศไทยปรากฏหลักฐานว่ามีการจัดพิธีวิสาขบูชามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
วันวิสาขบูชา ถือได้ว่าเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล เพราะชาวพุทธทุกนิกายจะพร้อมใจกันจัดพิธีพุทธบูชาในวันนี้พร้อมกันทั่วทั้งโลก[4] (ซึ่งไม่เหมือนวันมาฆบูชา และวันอาสาฬหบูชา ที่เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่นิยมนับถือกันเฉพาะในประเทศไทย, ลาว, และกัมพูชา) และด้วยเหตุนี้ ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติจึงยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็น "วันสำคัญสากล" (International Day) ตามข้อมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 54/112 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2542
ปัจจุบัน ประเทศไทยได้ประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และประชาชน จะมีการประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นวันคล้ายวันที่ "ประสูติ" ของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งต่อมาได้ "ตรัสรู้" เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงกอปรไปด้วย "พระบริสุทธิคุณ", "พระปัญญาคุณ" ผู้ซึ่งได้ทรงสั่งสอนประกาศพระสัจธรรม คือ ความจริงของโลก แก่ชนทั้งปวงโดย "พระมหากรุณาธิคุณ" จวบจนทรง "เสด็จดับขันธปรินิพพาน" ในวาระสุดท้าย ทั้งสามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสืบเนื่องในวันเพ็ญเดือน 6 นี้ทำให้พระพุทธศาสนาได้บังเกิดและสืบต่อมาอย่างมั่นคงจนถึงปัจจุบัน.

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2562

เครื่องบินตก 27 เมษายน 2523

รำลึกครั้งเครื่องบินตก กับครูบอาจารย์พระป่ากัมมัฏฐานรวม ๕ รูป 

บาตรพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ วัดเจติยาคิรีวิหาร (วัดภูทอก) จ.บึงกาฬ   เมื่อครั้งเครื่องบินตกที่ท้องนาทุ่งรังสิต  อำเภอคลอหลวง จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๒๓  ซึ่งเมื่อแงะฝาบาตรออกมา ปรากฏว่าพบ เอกสารราชกาลับ ซ่อนอยู่ข้างใน นายสมพร กลิ่นพงษา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม(ตำแหน่งในขณะนั้น) เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ถือเอกสารราชการลับฉบับดังกล่าวไว้กับตนเอง  โดยในขณะเครื่องบินจะตกนั้น ท่านนั่งอยู่บริเวณตอนท้าของเครื่องบิน ได้กอดรัดเอกสารราชการลับฉบับดังกล่าวไว้อย่างแน่หนา ด้วยกลัวว่าหากเอกสารหลุดรอด สูญหายไป อาจเป็นภัยใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ  แต่ครั้นเมื่อเครื่องบินตกแล้ว กลับมาพบเอกสารลับฉบ้บนี  อยู่ในบาตรพระอาจารย์จวนซึ่งท่านนั่งอยู่บริเวณตอนหน้าของเครื่องบิน กับครูบอาจารย์พระป่ากัมมัฏฐานรวม ๕ รูป 
(หลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม หลวงพ่อวัน อุตตโม พระอาจารย์จวน  กุลเ๙ฏโฐ  พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร  และพระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม )

หลังจากเครื่องบินตก เมื่อกู้ซากเครื่องบินและเก็บอัฐบริขารของครูบาอาจารย์แล้ว กลับพบว่าภายในบาตรพระอาจารย์จวนนั้น มีเอกสารราชการลับที่ทางการค้นหาอยู่ ซึ่งบาตรลูกนี้มีรอยบุบที่เกิดจากการใช้อุ้งมือและนิ้วโป้งทั้ง ๒ ข้างกดลงไปให้บุ๋มลง เพื่อไม่ให้เอกสารราชการลับดังกล่าวหล่นออกมาจากบาตรหากไม่ปิดปากบาตรให้แน่น เอกสารลับฉบ้บนี้คงถูกนำไปเผยแพร่อย่างแน่นอน

ในยุคปีพุทธศักราช ๒๕๒๓ นั้น ยังมีเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายเกิดขึ้นในประเทศอยู่ 

เมื่อเวลาผ่านไปกว่า ๑๐ ปี คุณหญิงสุรีพันธ์ มณีวัต เกิดความสงสัยจึงได้สอบถามนายสมพร กลิ่นพงษา ผู้ถือเอกสารราชการลับฉบับดังกล่าวในยุคนั้นว่า คิดอย่างไรตอนเครื่องบินจะตก กลับนำเอกสารราชการลับไปฝากพระอาจารย์จวนไว้ 

นายสมพร กลิ่นพงษา บอกว่าท่านไม่รู้เรื่องนี้ ท่านกอดเอกสารลับแน่นอยู่ที่อกตลอด

"เอกสารลับนะครับพี่" 

พอเครื่องตกนายสมพร กลิ่นพงศาก็ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และไม่ทราบว่าเอกสารราชการลับที่ตนเองถืออยู่นั้นได้หายไปอยู่ในบาตรของพระอาจารย์จวนได้อย่างไร

นี่ก็คือความอัศจรรย์ !! และความเมตตาของพระอาจารย์จวน ที่ท่านเล็งเห็น จึงได้ช่วยจัดการซ่อนเอกสารราชการลับฉบับนั้นให้ไปอยู่ในบาตรของท่าน  พร้อมทั้งบุบบาตรให้บุ๋มปิดผนึกไว้ หากไม่ทำเช่นนั้นตอนกู้ซากเครื่องบิน อาจมีชาวบ้านมารื้อค้นทำให้สูญหายหรือเผยแพร่ ทำให้เป็นภัยต่อประเทศชาติเราได้

วันนี้ เป็นวันครบรอบ ๓๙ ปีแห่งการมรณภาพของพระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ  ขอกราบนมัสการ พระอาจารย์ด้วยความเคารพสักการะยิ่งเจ้าค่ะ






วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2562

หลวงปู่มั่น







คลิกอ่านเพิ่มเติม
🔻🔻🔻



คติธรรมคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น
(หลวงปู่มั่นภูริทัตตมหาเถระ)

🙏🏻เมื่อเกิดมาอาภัพชาติอย่าให้ใจอาภัพอีกผู้เกิดมาชาตินี้อาภัพแล้วอย่าให้ใจอาภัพคิดแต่ผลิตโทษทำบาปอกุศลเผาผลานตนให้ได้ทุกเป็นบาปกรรมอีกเลยอีก

🙏🏻ความยิ่งใหญ่คือความไม่ยั่งยืน
ความไม่ยั่งยืนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอน
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่คือชีวิตที่อยู่ด้วยทานศีลเมตตาและกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี...อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเท่านั้น


🙏🏻คนหิวอยู่เป็นปกติสุขไม่ได้จึงวิ่งหาโน่นหานี่เจออะไรก็ขว้าติดมือมาโดยไม่สำนึกว่าผิดหรือถูก
ครั้นแล้วสิ่งที่ควรคว้ามาก็เผาตัวเองให้ร้อนยิ่งกว่าไฟ
คนที่หลงจึงต้องแสวงหาถ้าไม่หลงก็ไม่ต้องหาจะหาไปให้ลำบากทำไม
อะไร... อะไรก็มีอยู่กับตัวเองอย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว
จะตื่นเงาตะครุบเงาไปทำไมเพราะรู้แล้วว่าเหงาไม่ใช่ตัวจริง
ตัวจริงคือสัจจะทั้งสี่ที่มีอยู่ในกายในใจอย่างสมบูรณ์แล้ว

🙏🏻วาสนานั้นเป็นไปตามอัธยาศัยคนที่มีวาสนาในทางที่ดีมาแล้วแต่คบคนพาลวาสนาก็อาจเป็นคนพาลได้
บางคนวาสนายังอ่อนเมื่อคบบัณฑิตวาสนาก็เลื่อนขึ้นเป็นบัณฑิต
ฉันนั้นบุคคลควรพยายามคบแต่บัณฑิตเพื่อเลื่อนภูมิวาสนาของตนให้สูงขึ้น

🙏🏻ผู้เห็นคุณค่าของตัว...จึงเห็นคุณค่าของผู้อื่น...ว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกันไม่เบียดเบียนทำลายกันผู้มีศีลสัตย์เมื่อทำลายขันธ์ไปในสุคติในโลกสวรรค์ไม่ตกต่ำเพราะอำนาจศีลคุ้มครองรักษาและสนับสนุนจึงควรอย่างยิ่งที่จะพากันรักษาให้บริบูรณ์ธรรมก็สั่งสอนแล้วควรจดจำให้ดีปฏิบัติให้มั่นคงจะเป็นผู้ส่งคุณสมบัติให้มั่นคงจะเป็นผู้ส่งคุณสมบัติทุกอย่างแน่นอน

🙏🏻คนชั่วทำชั่วได้ง่ายและติดใจไม่ยอมลดละแก้ไขให้ดี
คนดีทำดีได้ง่ายและติดใจกลายเป็นคนรักธรรมตลอดไป

🙏🏻การตำหนิติเตียนผู้อื่นถึงเค้าจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเองให้ขุ่นมัวไปด้วยความเดือดร้อนวุ่นวายใจที่คิดตำหนิผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น
นักปราชญ์ถือเอาเป็นความผิดและบาปกรรมไม่มีดีเลย
จะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนามาทรมานอย่างไม่คาดฝัน
การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรองเป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์
จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน

งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสียความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัวแต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง

วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2562

พระบรมราโชวาท



     ใช้ความสามารถเเละความรอบคอบ

     ในการไปให้ถึงจุดหมาย การจะไป

     ให้ถึงจุดหมายจะต้องใช้ความสามารถ

     และความรอบคอบระมัดระวังมาก

     ตั้งเเต่เริ่มต้นตลอดไปจนถึงที่สุด

     เเรกเริ่มก็ต้องพิจารณาหาทางที่ถูกเเละ

     ที่เหมาะที่สุดเป็นทางเดิน เมื่อไปถึง

     ทางแยกทางร่วมจะเดินไปได้เป็นสองทาง

     สามทางก็ต้องใช้ความรู้ความฉลาด

     ตัดสินว่าควรจะเลือกไปทางไหนจึงจะ

     สะดวกปลอดภัยไปถึงที่หมาย


     พระบรมราโชวาท
     พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล
     อดุลยเดชฯ
     ***********************************
     พระบรมราโชวาท สวัสดีเช้าวันพุธ
















..